ภัยพิบัติไม่รอใคร! เปิดลิสต์ “ถุงยังชีพฉุกเฉิน” ไอเทมเปลี่ยนชีวิตที่ต้องมีติดบ้าน
เราไม่มีทางรู้เลยว่าเหตุการณ์ไม่คาดฝันอย่าง น้ำท่วมฉับพลัน, ไฟไหม้ หรือแผ่นดินไหว จะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ แต่สิ่งหนึ่งที่เราเตรียมพร้อมได้คือ “ถุงยังชีพฉุกเฉิน” (Emergency Survival Kit) หรือที่หลายคนเรียกว่า “กระเป๋า 72 ชั่วโมง” ซึ่งจะช่วยให้คุณและครอบครัวเอาตัวรอดได้ในช่วงเวลาวิกฤตที่ความช่วยเหลือยังมาไม่ถึง
บทความนี้จะพาไปดูว่า ในถุงใบนี้ควรมีอะไรบ้าง และทำไมสิ่งเหล่านี้ถึงสำคัญต่อชีวิตคุณ
ทำไมต้องเป็น “3 วัน” (72 ชั่วโมง)?
ในทางสากล 72 ชั่วโมงแรกหลังเกิดภัยพิบัติคือช่วงเวลาที่วิกฤตที่สุด เพราะระบบสาธารณูปโภค เช่น ไฟฟ้า ประปา หรือการสื่อสารอาจถูกตัดขาด และเจ้าหน้าที่กู้ภัยอาจยังเข้าไม่ถึงพื้นที่ การมีเสบียงและอุปกรณ์ที่พร้อมจะช่วยลดความเสี่ยงจากการบาดเจ็บและการขาดแคลนอาหารได้
5 หมวดไอเทมสำคัญที่ต้องมีในถุงยังชีพ
1. เอกสารสำคัญ (ใส่ซองกันน้ำ)
ในวันที่ทุกอย่างโกลาหล เอกสารยืนยันตัวตนคือสิ่งที่จะช่วยให้คุณเข้าถึงสิทธิ์การรักษาพยาบาล หรือการรับความช่วยเหลือจากภาครัฐได้รวดเร็วขึ้น
-
สิ่งที่ต้องเตรียม: สำเนาบัตรประชาชน, ทะเบียนบ้าน, กรมธรรม์ประกันภัย, สมุดบัญชีธนาคาร และประวัติการแพ้ยา
2. อุปกรณ์สื่อสารและแสงสว่าง
เมื่อไฟฟ้าดับ “ข้อมูล” และ “แสงสว่าง” คือสิ่งที่ช่วยลดความตระหนกและเพิ่มความปลอดภัย
-
โทรศัพท์มือถือและ Powerbank: ชาร์จให้เต็มอยู่เสมอ เพื่อใช้ติดต่อขอความช่วยเหลือหรือติดตามข่าวสาร
-
ไฟฉายพร้อมถ่านสำรอง: เลือกแบบที่กันน้ำได้ หรือแบบปั่นมือเพื่อสำรองกรณีถ่านหมด
3. ยาสามัญและยาประจำตัว
ความเจ็บป่วยมักมาพร้อมกับสภาวะเครียดและสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป
-
ยาสามัญ: ยาแก้ปวดลดไข้, ยาแก้ท้องเสีย, ผงเกลือแร่ และชุดทำแผลเบื้องต้น
-
ยาประจำตัว: สำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัว ควรเตรียมไว้ให้เพียงพออย่างน้อย 7 วัน
4. อาหารแห้งและน้ำดื่ม
เน้นอาหารที่ให้พลังงานสูงและไม่ต้องปรุงสุก
-
อาหารพร้อมทาน (MRE): อาหารกระป๋องแบบดึงเปิดง่าย, โปรตีนบาร์ หรือบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป (จัดเตรียมให้พอสำหรับ 3 วัน)
-
น้ำดื่มสะอาด: อย่างน้อย 3 ลิตรต่อคนต่อวัน (สำหรับดื่มและทำความสะอาดร่างกายเบื้องต้น)
5. อุปกรณ์เสริมเพื่อการเอาตัวรอด
-
นกหวีด: ใช้สำหรับส่งสัญญาณเสียงกรณีขอความช่วยเหลือ
-
หน้ากากอนามัย: ป้องกันฝุ่น ควัน หรือเชื้อโรคในที่พักพิงรวม
Tips: การจัดเก็บและการดูแลรักษา
-
ตำแหน่งที่ตั้ง: ควรวางกระเป๋าไว้ในจุดที่หยิบง่ายที่สุด เช่น ใกล้ประตูหน้าบ้าน หรือหัวเตียง
-
ตรวจสอบทุก 6 เดือน: ตั้งนาฬิกาปลุกในมือถือเพื่อเช็กวันหมดอายุของอาหาร ยา และเช็กประสิทธิภาพของแบตเตอรี่ Powerbank
-
น้ำหนักกระเป๋า: ไม่ควรหนักจนเกินไปจนคุณไม่สามารถสะพายวิ่งหรือเดินระยะไกลได้
สรุป: การจัดถุงยังชีพอาจดูเหมือนเรื่องไกลตัว แต่ในนาทีที่เกิดเหตุการณ์จริง กระเป๋าใบนี้อาจเป็นข้อแตกต่างระหว่าง “ความรอด” กับ “ความสูญเสีย” เริ่มจัดตั้งแต่วันนี้ เพื่อความอุ่นใจของตัวคุณและคนที่คุณรัก


